วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประโยชน์ในวิชาสุขศึกษา / การนำไปใช้

                                            ประโยชน์ในวิชาสุขศึกษา
     
                 สุขภาพ  Health (เฮ็ลธ)   หรือ  สุขภาวะ  หมายถึง  ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย   ทางจิต  ทางสังคม  และทางปัญญาหรือจิตวิญญาณ   สุขภาพหรือสุขภาวะจึงเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะเกี่ยวโยงกับทุกมิติของชีวิต ซึ่งทุกคนควรจะได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพ เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง  มีเจตคติ   คุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสม   รวมทั้งมีทักษะปฏิบัติด้านสุขภาพจนเป็นกิจนิสัย  อันจะส่งผลให้สังคมโดยรวมมีคุณภาพ
 

 เรียนรู้อะไรในสุขศึกษาและพลศึกษา

                สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมาย เพื่อการดำรงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล  ครอบครัว และชุมชนให้ยั่งยืน
 
                สุขศึกษา    Health  Education (เอดยุเค -ฌัน)  มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรม
      1. ด้านความรู้  knowledge   (นอล  เอ็จ)
     2. เจตคติ  คุณธรรม  ค่านิยม    Attitude (แอท -ทิทยูด )       และ          
     3. การปฏิบัติ  Practice    (พแรค - ทิซ)   เกี่ยวกับสุขภาพควบคู่ไปด้วยกัน

         พลศึกษา   Physical  Education  มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว  การออกกำลังกาย  การเล่นเกมและกีฬา  เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์   สังคม   สติปัญญา  รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา
  Physical   อ่านว่า    ฟิส - อิแค็ล
  ต่อไปศึกษาถึงสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา

                                      การนำไปใช้  

          1. สุขภาพมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากนักเรียนได้เรียนรู้หลักการต่างๆ         เกี่ยวกับสุขภาพ จะทำให้นักเรียนมีความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติที่ดีและถูกต้อง ทั้งยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกด้วย

          2.การสอนสุขศึกษาที่ดีและถูกต้อง มีส่วนช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพราะนักเรียนมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ถ้านักเรียนมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ จะทำให้การเรียนไม่ดีเท่าที่ควร

          3. การสอนสุขศึกษาในโรงเรียน มีความเชื่อถือได้มากกว่าความรู้ที่นักเรียนได้รับมาจากแหล่งอื่นๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ปกครองและบุคคลอื่นๆ ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน เป็นความรู้ที่ได้รับการอบรมถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งมีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายได้

          4. การสอนสุขศึกษาให้แกนักเรียนซึ่งอยู่ในวัยเด็ก มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือและปฏิบัติตามคำแนะนำได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ฉะนั้น การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เด็ก จึงเป็นการช่วยให้เด็กได้เรียนรู้หลักการเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่แรกเริ่ม และจะนำไปดัดแปลงใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองและครอบครัวได้เร็วและมากยิ่งขึ้น

          5. ในวงการศึกษาเชื่อว่า ความรู้หรือประสบการณ์บางอย่างของเด็ก สามารถถ่ายทอดไปสู้ผู้ใหญ่ได้ ถ้าหากความรู้นั้นถูกต้องและสามารถปฏิบัติให้เห็นจริงได้ ฉะนั้น การสอนสุขศึกษาให้แก่นักเรียน ก็เป็นวิธีหนึ่งของการให้สุขศึกษาแก่ชุมชน
               

ประวัติผู้จัดทำ


ประวัติส่วนตัว

ชื่อ: นางสาวอัญชวี ชื่อเล่น : ใหญ่
เกิด: 20 สิงหาคม 2541 สถานภาพ : โสด มีพี่น้อง 2คน ที่อยู่ปัจจุบัน : บ้านเลขที่78 ตำบล เทพนิมิต อำเภอ เขาสมิง จังหวัดตราด รหัสไปรษณีย์ 23150
โทรศัพท์ : 0982947194 E-mail : yai878.yai6@gmail.com Facebook : Yai Aunchawe
ความสามารถพิเศษ : เล่นกีฬา คติประจำใจ : จงใช้ชีวิต ให้มีประโยชน์มากที่สุด งานอดิเรก : อ่านหนังสือ ประวัติการทำงาน การทำงาน: นักเรียน ประวัติการศึกษา จบ ประถมศึกษาปีที่6 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเขาฉลาด พ.ศ.2553 จบ มัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนสะตอวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก พ.ศ.2556 ปัจจุบันศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่6

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทฤษฎีสุขศึกษา / วิธีการสอน

                         ทฤษฎีสุขศึกษา

           1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ - การเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก - ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก - เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตและพัฒนาการของของมนุษย์ - การพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย 
           2. ชีวิตและครอบครัว - การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมกับพัฒนาการทางเพศ   - การปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และพัฒนาการทางเพศ - ความสำคัญของเพื่อน และการคบเพื่อน - วิธีผูกมิตร - ความหมายและองค์ประกอบของอนามัยเจริญพันธุ์ - วิธีปฏิบัติตนเพื่อสุขอนามัยทางเพศของวัยรุ่น • สิว • กลิ่นตัว • ประจำเดือน • ฝันเปียก 
 - พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
 - ปัญหาและผลกระทบจากโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
 - การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
           3. การเสริมสร้างสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค
 - ความสำคัญของการมีพฤติกรรมสุขภาพ การป้องกันและการดำรงสุขภาพ 
- คุณค่าของการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี การป้องกันโรคและการดำรงสุขภาพ
 - ความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพชุมชนและสิ่งแวดล้อม
 - การประเมินภาวะโภชนาการของตนเอง
 - โรคหรือปัญหาที่เกิดจากภาวะโภชนาการ
 - หลักการบริโภคอาหารตามธงโภชนาการ
 - ความหมายและความสำคัญของสุขภาพกายและสุขภาพจิต 
- คุณค่าของภาวะสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต 
- ประเมินภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิต
 - ความรู้เกี่ยวกับอารมณ์และความเครียด 
- ความหมายและวิธีการจัดการกับอารมณ์ ความเครียด และการฝึกจิต
 - การมองปัญหาเชิงบวก 
- การเข้าใจและยอมรับอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น 
- วิธีการวางแผนและจัดเวลาในการออกกำลังกาย การพักผ่อน และสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย และการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ
 - ความสำคัญของการมีสมรรถภาพที่ดีจากการออกกำลังกาย และสมรรถภาพกลไก
 - วิธีการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ และสมรรถภาพทางกลไก
 - ความแตกต่างระหว่างบุคคล 
         4.  ความปลอดภัยในชีวิต
 - ปัจจัยและพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพเกี่ยวกับ • การอุปโภคบริโภค • อุบัติเหตุ • อนามัยส่วนบุคคล
 - แนวปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และความปลอดภัย
 - กระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยให้ตนเองและครอบครัว
 - ความสำคัญของกระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยให้ตนเองและครอบครัว
 - การตัดสินใจปฏิบัติตนในการแก้ปัญหาเมื่อเผชิญกับภัยอันตราย
 - ภัยอันตรายและสถานการณ์ที่คับขัน 

                                                สุขศึกษาแก่เด็กประถมศึกษา

  1.  ทบทวนและสอนซ้ำเกี่ยวกับ "สุขภาพที่ดี" อยู่เสมอ
  2.  พยายามสอนนักเรียนแต่ละคนให้ทั่วถึง พร้อมกับกระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาสุขภาพของตัวเอง และยึดถือค่านิยมที่ดีทางสุขภาพด้วย
 3.  สอนให้นักเรียนแต่ละคนรับผิดชอบสุขนิสัยของตนเอง
 4.  จุดมุ่งหมายของการสอน คือ ทำให้นักเรียนมีความสุข ปรับตัวได้ดีและมีสุขภาพสมบูรณ์
 5.  บทเรียนทุกบทควรน่าสนใจ ตรงตามความต้องการและความสามรถของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบที่ดีต่อตัวเองและต้อส่วนรวม
 6.  สอนสุขศึกษาให้สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของนักเรียน และเน้นเนื้อหาที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
 7.  บูรณาการและสัมพันธ์เนื้อหากับประสบการณ์ของวิชาสุขศึกษากับวิชาอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
 8.  ในการสอนควรใช้สื่อการเรียนจากวิทยาศาสตร์ เช่น วิชากายภาพ สรีระศาสตร์และอื่นๆเข้าช่วย ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้น
 9.  สื่อการเรียนทุกชนิดที่นำมาใช้ควรสัมพันธ์กับเรื่องสุขภาพของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนตัดสินใจเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเองได้
 10.  เมื่อจบการสอนสุขศึกษา ควรมีเครื่องมือ ( Means ) ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้อย่างอื่นๆต่อไป มิใช่จบภายในตัวของตัวเองเท่านั้น 

                           วิธีการสอนสุขศึกษา

        วิชาสุขศึกษามีเนื้อหากว้างขวาง แต่พอจะสรุปเป็นหัวข้อใหญ่ๆได้ดังนี้
  1. กายวิภาคและสรีระวิทยา เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกาย ระบบส่วนต่างๆของร่างกาย ตลอดจนหน้าที่และความสำคัญของอวัยวะส่วนต่างๆ ฯลฯ
  2. เพศศึกษา เนื้อหาส่วนใหญ่จะชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงธรรมชาติของมนุษย์ การสืบพันธ์ ความแตกต่างระหว่างเพศ หน้าที่ของแต่ละเพศ เป็นต้น
          สำหรับเรื่องเพศนี้ ยังไม่มีการสอนอย่างแพร่หลาย และสอนกันอย่างแท้จริง เพราะหลายฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกัน บางฝ่ายคิดว่ามีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แต่บางฝ่ายคิดว่ามีผลเสียมากกว่าผลดี อย่างไรก็ตาม ในอนาคตคิดว่าเรื่องเพศศึกษาจะแพร่หลาย และสอนกันอย่างจริงจัง แม้กระทั่งในรัสเซีย หลักสูตรการศึกษาแผนใหม่ถูกจัดให้รวมอยู่ในวิชาสุขศึกษา โดยจะเริ่มเน้นที่พื้นฐานของมนุษย์ สรีรวิทยา การตั้งครรภ์ การคลอดบุตรและการเลี้ยงดู ตลอดจนถึงอันตราย ซึ่งจะมีต่อครรภ์อ่อนเนื่องจากเพศสัมพันธ์ ให้กับนักเรียนในชั้นแปด พอถึงชั้น เก้า นักเรียนจะได้เรียนรู้ว่า นอกจากคนเราจะมีหน้าที่เพียงให้กำเนิดทายาทเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ผู้เป็นพ่อแม่ยังมีหน้าที่จะต้องสั่งสอนศีลธรรม จริยธรรมและเป็นตัวอย่างที่ดีของครอบครัวต่อไป
  3. อนามัยส่วนบุคคลและชุมชน กล่าวถึงสุขนิสัยและสุขปฏิบัติของบุคคลแต่ละคนที่พึงกระทำและเสริมสร้างให้เกิดขึ้น ตลอดจนถึงสุขนิสัยและสุขปฏิบัติของชนกลุ่มใหญ่ในชุมชนอีกด้วย เช่น อนามัยเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด การโภชนาการ ฯลฯ เป็นต้น
  4. การออกกำลังกายและการพักผ่อน แนะวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเพศและวัย ตลอดจนถึงหลักการออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างถูกวิธี ฯล ฯ
  5. โภชนาการ กล่าวถึงประเภทของอาหาร หลักการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ปริมาณของอาหารที่ควรรับประทาน สุขนิสัยที่ดีต่อการรับประทานอาหาร เป็นต้น

ทฤษฎีสุขศึกษา

                         ทฤษฎีสุขศึกษา

           1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ - การเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก - ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก - เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตและพัฒนาการของของมนุษย์ - การพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย 
           2. ชีวิตและครอบครัว - การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมกับพัฒนาการทางเพศ   - การปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และพัฒนาการทางเพศ - ความสำคัญของเพื่อน และการคบเพื่อน - วิธีผูกมิตร - ความหมายและองค์ประกอบของอนามัยเจริญพันธุ์ - วิธีปฏิบัติตนเพื่อสุขอนามัยทางเพศของวัยรุ่น • สิว • กลิ่นตัว • ประจำเดือน • ฝันเปียก 
 - พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
 - ปัญหาและผลกระทบจากโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
 - การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
           3. การเสริมสร้างสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค
 - ความสำคัญของการมีพฤติกรรมสุขภาพ การป้องกันและการดำรงสุขภาพ 
- คุณค่าของการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี การป้องกันโรคและการดำรงสุขภาพ
 - ความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพชุมชนและสิ่งแวดล้อม
 - การประเมินภาวะโภชนาการของตนเอง
 - โรคหรือปัญหาที่เกิดจากภาวะโภชนาการ
 - หลักการบริโภคอาหารตามธงโภชนาการ
 - ความหมายและความสำคัญของสุขภาพกายและสุขภาพจิต 
- คุณค่าของภาวะสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต 
- ประเมินภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิต
 - ความรู้เกี่ยวกับอารมณ์และความเครียด 
- ความหมายและวิธีการจัดการกับอารมณ์ ความเครียด และการฝึกจิต
 - การมองปัญหาเชิงบวก 
- การเข้าใจและยอมรับอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น 
- วิธีการวางแผนและจัดเวลาในการออกกำลังกาย การพักผ่อน และสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย และการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ
 - ความสำคัญของการมีสมรรถภาพที่ดีจากการออกกำลังกาย และสมรรถภาพกลไก
 - วิธีการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ และสมรรถภาพทางกลไก
 - ความแตกต่างระหว่างบุคคล 
         4.  ความปลอดภัยในชีวิต
 - ปัจจัยและพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพเกี่ยวกับ • การอุปโภคบริโภค • อุบัติเหตุ • อนามัยส่วนบุคคล
 - แนวปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และความปลอดภัย
 - กระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยให้ตนเองและครอบครัว
 - ความสำคัญของกระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยให้ตนเองและครอบครัว
 - การตัดสินใจปฏิบัติตนในการแก้ปัญหาเมื่อเผชิญกับภัยอันตราย
 - ภัยอันตรายและสถานการณ์ที่คับขัน 

                                                สุขศึกษาแก่เด็กประถมศึกษา

  1.  ทบทวนและสอนซ้ำเกี่ยวกับ "สุขภาพที่ดี" อยู่เสมอ
  2.  พยายามสอนนักเรียนแต่ละคนให้ทั่วถึง พร้อมกับกระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาสุขภาพของตัวเอง และยึดถือค่านิยมที่ดีทางสุขภาพด้วย
 3.  สอนให้นักเรียนแต่ละคนรับผิดชอบสุขนิสัยของตนเอง
 4.  จุดมุ่งหมายของการสอน คือ ทำให้นักเรียนมีความสุข ปรับตัวได้ดีและมีสุขภาพสมบูรณ์
 5.  บทเรียนทุกบทควรน่าสนใจ ตรงตามความต้องการและความสามรถของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบที่ดีต่อตัวเองและต้อส่วนรวม
 6.  สอนสุขศึกษาให้สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของนักเรียน และเน้นเนื้อหาที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
 7.  บูรณาการและสัมพันธ์เนื้อหากับประสบการณ์ของวิชาสุขศึกษากับวิชาอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
 8.  ในการสอนควรใช้สื่อการเรียนจากวิทยาศาสตร์ เช่น วิชากายภาพ สรีระศาสตร์และอื่นๆเข้าช่วย ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้น
 9.  สื่อการเรียนทุกชนิดที่นำมาใช้ควรสัมพันธ์กับเรื่องสุขภาพของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนตัดสินใจเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเองได้
 10.  เมื่อจบการสอนสุขศึกษา ควรมีเครื่องมือ ( Means ) ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้อย่างอื่นๆต่อไป มิใช่จบภายในตัวของตัวเองเท่านั้น

องค์ประกอบ สุขศึกษา

               องค์ประกอบ สุขศึกษา

 1.  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ของวัยรุ่น เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย ภาวะทุพโภชนาการ สิทธิผู้บริโภค ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ ความเครียดกับสุขภาพ พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการป้องกัน ปัจจัยที่มีผลต่อความปลอดภัยในชีวิต 
2. เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กวัยรุ่น ความสำคัญของการคบเพื่อนต่อการดำรงชีวิต ค่านิยมทางเพศที่ดี ภาวะทุพโภชนาการ สิทธิผู้บริโภค การสร้างเสริมความปลอดภัยในตนเองและครอบครัว รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับการป้องกันโรคเพื่อการดำรงสุขภาพที่ดี
 3. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายของตนเอง วิธีการตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธปัจจัยที่เสี่ยงต่อสุขภาพ รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับภัยอันตรายต่างๆ
 4. เพื่อสามารถนำความรู้ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น เพื่อน ค่านิยมทางเพศ อารมณ์ ความเครียด เกณฑ์การเจริญเติบโต ความปลอดภัยภายในบ้าน ภาวะทุพโภชนาการ สิทธิผู้บริโภคไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด 

หลักเบื้องต้นสำหรับการสอนสุขศึกษาแก่เด็กประถมศึกษา

หลักเบื้องต้นสำหรับการสอนสุขศึกษาแก่เด็กประถมศึกษา
1.  ทบทวนและสอนซ้ำเกี่ยวกับ "สุขภาพที่ดี" อยู่เสมอ
2.  พยายามสอนนักเรียนแต่ละคนให้ทั่วถึง พร้อมกับกระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาสุขภาพของตัวเอง และยึดถือค่านิยมที่ดีทางสุขภาพด้วย
3.  สอนให้นักเรียนแต่ละคนรับผิดชอบสุขนิสัยของตนเอง
4.  จุดมุ่งหมายของการสอน คือ ทำให้นักเรียนมีความสุข ปรับตัวได้ดีและมีสุขภาพสมบูรณ์
5.  บทเรียนทุกบทควรน่าสนใจ ตรงตามความต้องการและความสามรถของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบที่ดีต่อตัวเองและต้อส่วนรวม
6.  สอนสุขศึกษาให้สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของนักเรียน และเน้นเนื้อหาที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
7.  บูรณาการและสัมพันธ์เนื้อหากับประสบการณ์ของวิชาสุขศึกษากับวิชาอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
8.  ในการสอนควรใช้สื่อการเรียนจากวิทยาศาสตร์ เช่น วิชากายภาพ สรีระศาสตร์และอื่นๆเข้าช่วย ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้น
9.  สื่อการเรียนทุกชนิดที่นำมาใช้ควรสัมพันธ์กับเรื่องสุขภาพของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนตัดสินใจเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเองได้
10.  เมื่อจบการสอนสุขศึกษา ควรมีเครื่องมือ ( Means ) ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้อย่างอื่นๆต่อไป มิใช่จบภายในตัวของตัวเองเท่านั้น

หลักพื้นฐานในการสอนสุขศึกษา

                หลักพื้นฐานในการสอนสุขศึกษา
           การสอนที่ดีขึ้นอยู่กับหลักการหลายประการ ครูแต่ละคนต้องพยายามทำให้การสอนมีความหมายและบรรลุผล สอนให้ต่อเนื่องกัน หลักการสอนมีดังนี้

1. ครูและนักเรียนร่วมมือกันวางจุดมุ่งหมาย วางแผนการสอน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และประเมินผลกากรเรียนการสอนร่วมกัน

2. พยายามทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จ เพื่อให้นักเรียนพอใจ มีความพยายามและสนใจสิ่งใหม่ๆ

3. ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นจริง

4. บทบาทเบื้องต้นของครู คือ กระตุ้นและแนะนักเรียนให้กระทำ มีเจตคติและค่านิยมที่ดี

5. จัดกลุ่มให้นักเรียนแต่ละคน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างเต็มความสามารถ

6. ครูต้องจัดบรรยากาศการสอนแบบกลุ่ม ไม่นำนักเรียนแสดงความเป็นกันเอง กระตุ้นให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยและทำหน้าที่สมาชิกที่ดีของกลุ่ม

7. การสอนต้องช่วยให้นักเรียนค้นพบและพัฒนาสติปัญญาของตนเอง บทบาทของครู คือ ช่วยให้ผู้เรียนทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสามารถจะทำได้และทำได้อย่างดีด้วย

8. การเรียนจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการสอนหรือขาดการจูงใจ

9. ช่วยนักเรียนให้รู้จักวิเคราะห์สิ่งที่ตัวเองเรียนให้ดีที่สุด

10. ค้นหาสาเหตุที่ทำให้นักเรียนเรียนช้าหรือไม่อยากเรียน และพยายามหาวิธีการพัฒนาการเรียนการสอนของตนเอง


11. ใช้โสตทัศนูปกรณ์ให้เป็นประโยชน์และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความหมายของคำว่า "สุขศึกษา"

                   ความหมายของคำว่า "สุขศึกษา"
     
           สมาคมการศึกษาแห่งชาติและสมาคมแพทย์อเมริกัน ได้ให้ความหมายของคำว่า "สุขศึกษา" ไว้ดังนี้ สุขศึกษา คือ ผลรวมของประสบการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติ เจตคติและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ
Dorothy Nyswander ได้ให้ความหมายของสุขศึกษาไว้ดังนี้

           สุขศึกษา คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในตัวบุคคล การเปลี่ยนแปลงนี้สัมพันธ์กับความสัมฤทธิ์ผลส่วนบุคคลและส่วนชุมชนตามเป้าหมายทางสุขภาพอนามัย สุขศึกษาไม่สามารถที่จะหยิบยื่นให้บุคคลอื่นโดยบุคคลหนึ่งได้ สุขศึกษาเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพลวัตรที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยบุคคลอาจยอมรับหรือไม่ยอมรับข้อมูล เจตคติ และการปฏิบัติใหม่ๆ ซึ่งเกี่ยวกับเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็ได้

W.H.O. Technical Report No.89 ให้ความเห็นว่า สุขศึกษาก็เช่นเดียวกับการศึกษาทั่วๆไป คือ เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความรู้ ความสามารถและพฤติกรรมของบุคคล สุขศึกษาจะเน้นที่การพัฒนาการปฏิบัติทางสุขภาพอนามัย ซึ่งเชื่อว่าจะก่อให้เกิดสภาวะความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ที่สุด

Mayhew Derryberry ให้ความหมายสุขศึกษาไว้ง่ายๆ เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจดังนี้ สุขศึกษาเป็นการเปลี่ยนแปลงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เจตคติที่มีต่อการป้องกันและรักษา และการปฏิบัติทางสุขภาพอนามัย ตลอดจนนิสัยในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นผลจากประสบการณ์หลายๆอย่างของบุคคลนั้น ดังนั้น สุขศึกษาจึงไม่ใช่กิจกรรมที่จะทำโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเท่านั้น แต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของประชาชนที่มีต่อประสบการณ์ทางด้านสุขภาพทั้งหมดของเขา

          จากคำจำกัดความต่างๆ ดังกล่าวพอจะสรุปได้ว่า สุขศึกษา คือ ประสบการณ์ทั้งมวลทางด้านสุขภาพที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้ เจตคติและการปฏิบัติที่ดีและถูกต้องต่อสุขภาพของตัวเองและชุมชน ทั้งยังผลให้บุคคลและชุมชนมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
         ขอบคุณแหล่งข้อมูล
ชีว   http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E


วิถีชีวิต      http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95

เศรษฐกิจพอเพียง  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87

สุขศึกษาพละศึกษา   http://thaiblogonline.com/vc.blog?PostID=38723

สุภาษิตไทย  http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=1245

ประวัติสุขศึกษา

                              ประวัติของสุขศึกษา
                   ในอดีต กรมพลศึกษา เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการผลิตครูพลศึกษา โดยรับโอนโรงเรียนพลศึกษากลาง มาดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 และได้มีการจัดตั้ง “วิทยาลัยพลศึกษา” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2496 เพื่อดำเนินการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.สูง) และตั้ง “โรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัย” ขึ้นในปีการศึกษา 2501 เพื่อดำเนินการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) ต่อมาได้ยุบเลิกโรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัย ในปี พ.ศ. 2512 และได้ขยายหลักสูตรของวิทยาลัยพลศึกษาเป็นระดับปริญญาตรี โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยวิชาการศึกษา แต่ยังคงดำเนินการโดยกรมพลศึกษา และใช้ชื่อว่า “วิทยาลัยวิชาการศึกษาพลศึกษา” ในปี พ.ศ. 2514 ได้ยุติการดำเนินการวิทยาลัยพลศึกษาในส่วนกลางและโอนวิทยาลัยวิชาการศึกษาพลศึกษา ไปให้วิทยาลัยวิชาการศึกษาดำเนินการต่อไป กรมพลศึกษาได้เปิดดำเนินการผลิตครูพลศึกษาในส่วนภูมิภาค โดยเริ่มเปิด “วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดเชียงใหม่” ขึ้นเป็นแห่งแรก ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 เปิด “วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดมหาสารคาม” และมีการเปิดเพิ่มขึ้นในจังหวัดต่างๆ เรื่อยมา จนกระทั่งมีวิทยาลัยพลศึกษารวม 17 แห่ง
                    เมื่อกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายบรรจุข้าราชการครูจากผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี กรมพลศึกษาจึงหาแนวทางยกฐานะวิทยาลัยพลศึกษาให้สามารถเปิดทำการสอนในระดับปริญญาตรี โดยในระยะแรกได้จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการกับกรมการฝึกหัดครู เป็นสถาบันสมทบของวิทยาลัยครู เพื่อเปิดสอนระดับปริญญาตรีหลักสูตรต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีการศึกษา 2531 ในขณะเดียวกันก็มีแนวทางที่จะเปิดดำเนินการสอนระดับปริญญาตรีด้วยตนเอง จนได้มีการร่างพระราชบัญญัติเพื่อยกฐานะวิทยาลัยพลศึกษาขึ้นเป็นสถาบันการศึกษาระดับปริญญา ในปี พ.ศ. 2538 
                    กรมพลศึกษา ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติสถาบันกาญจนมงคลตามลำดับ พร้อมกับที่กรมอาชีวศึกษาได้เสนอร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และกรมศิลปากรได้เสนอร่างพระราชบัญญัติสถาบันพัฒนศิลป์ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับ แต่เนื่องจากสาเหตุบางประการกรมพลศึกษาได้นำร่างพระราชบัญญัติสถาบันกาญจนมงคลกลับมาพิจารณาทบทวนใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้ไม่สามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ทันเวลา เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรหมดอายุลง จึงต้องนำร่างพระราชบัญญัติสถาบันกาญจนมงคล มาเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนใหม่อีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว
การดำเนินการเพื่อยกฐานะดังกล่าว ได้ดำเนินเรื่อยมากระทั่งสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา ไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2548 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา ตอนที่ 13 ก เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 จึงนับได้ว่าสถาบันการพลศึกษาได้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
เขียนโดย TuMMy ที่ 23:38